
คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร จัดกิจกรรมเสริมทักษะนักวิจัย แปลงแนวคิดนามธรรมให้กลายเป็นตัวชี้วัดที่จับต้องได้และใช้ประโยชน์จริง
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดโครงการ Public Seminar ครั้งที่ 2 ภายใต้หัวข้อ “การปฏิบัติการ: เปลี่ยนแนวคิดเชิงทฤษฎีที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นตัวชี้วัด” เมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ห้องประชุมราชพฤกษ์ 3 คณะสังคมศาสตร์ และผ่านระบบออนไลน์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับนักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ว่าด้วยการประยุกต์ใช้แนวคิดทางทฤษฎีในงานสังคมศาสตร์ให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในบริบทภาคสนาม
กิจกรรมในครั้งนี้มีการบรรยายที่สำคัญสองหัวข้อ ได้แก่ “การปฏิบัติการ: เปลี่ยนแนวคิดผลกระทบทางสังคมเป็นตัวชี้วัด และเครื่องมือภาคสนาม” โดย Mr. Pramod Ghimire นิสิตปริญญาเอก สาขาพัฒนาสังคม คณะสังคมศาสตร์ ที่นำเสนอกรณีศึกษาจากประเทศเนปาล ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการออกแบบเครื่องมือวัดผลกระทบทางสังคมจากโครงการพัฒนาพลังงานน้ำในพื้นที่ระเบียงมาร์ซยางดีตอนกลาง จังหวัดกานดากี โดยแสดงให้เห็นถึงกระบวนการเชิงวิจัยที่สามารถเชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎีเข้ากับการเก็บข้อมูลจริงในชุมชนที่ได้รับผลกระทบ
และการบรรยายหัวข้อ “การปฏิบัติการ: เปลี่ยนแนวคิดเชิงทฤษฎีที่เป็นนามธรรมให้กลายเป็นตัวชี้วัด” โดย ผศ.ดร.วัชรพล ศุภจักรวัฒนา อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ซึ่งได้อธิบายถึงความสำคัญของการแปลงแนวคิดทางทฤษฎีที่มีลักษณะเป็นนามธรรม ให้กลายเป็นตัวชี้วัดที่สามารถสังเกตและวัดผลได้อย่างมีระบบ ทั้งในงานวิจัย การประเมินโครงการ และการกำหนดนโยบายสาธารณะ โดยยกตัวอย่างแนวทางการวิเคราะห์ในเชิงโครงสร้าง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และระบบคุณค่า ที่สามารถต่อยอดไปสู่การสร้างเครื่องมือวัดที่มีความน่าเชื่อถือและเที่ยงตรง ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.จุฑาพร สันตยากร อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์
โดยหัวข้อของการสัมมนาดังกล่าวสะท้อนถึงความพยายามในการทำให้ทฤษฎีทางสังคม ซึ่งมักจะมีลักษณะเป็นนามธรรมและยากต่อการวัดผล สามารถนำมาใช้ประเมินสถานการณ์จริงได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในการวิจัยเชิงพื้นที่ แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานโยบาย การประเมินผลโครงการ การทำงานชุมชน และการสร้างเครื่องมือวิเคราะห์ทางสังคมในบริบทต่าง ๆ
กล่าวได้ว่า Public Seminar ครั้งนี้ เป็นเวทีที่ช่วยขยายพรมแดนความรู้จากระดับแนวคิดสู่ระดับปฏิบัติ เป็นการสะท้อนบทบาทของมหาวิทยาลัยในฐานะพื้นที่ผลิตความรู้เพื่อรับใช้สังคม และส่งเสริมให้นักวิชาการรุ่นใหม่มีทักษะในการแปลงทฤษฎีสู่การใช้งานจริงได้อย่างสร้างสรรค์และมีความหมาย